รู้หรือไม่ว่า
ทำไมในวงการ Anime ของญี่ปุ่นมีมักจะมีต้นกำเนิดมาจาก การเปลี่ยนร่าง
จากคนสู่ฮีโร่ หรือ หุ่นยนต์ยักษ์ใหญ่ กลายร่างถล่มโลก ต่อสู้กัน จนตึกพังทะลาย
โดย ลักษณะสำคัญ 2 ประการที่ถูกสร้างขึ้นใน Anime ในช่วงทศวรรษที่ 1960 และยังถูกพัฒนาต่อมาจน ถึงยุคปัจจุบันก็คือ
1) การนำเสนอตัวละครที่เป็นหุ่นยนตร์ขนาดยักษ์ (giant robots) ที่มักโผล่ใน Super Sentai นั้น สาเหตุที่หุ่นยนตร์ขนาดยักษ์เป็นที่นิยมมาก ก็เพราะหุ่นยนตร์ขนาดยักษ์ได้สร้างภาพให้ผู้ชมที่เป็นเด็กเห็นตัวละครเอกที่เป็นเด็กควบคุมหุ่นยนตร์ยักษ์ใหญ่ต่อสู้กับผู้ร้าย ทำให้เด็กได้เข้าสู่โลกแห่งจินตนาการและหลงลืม "ความเป็นเด็ก" ซึ่งไร้พลังทางด้านร่างกายและสังคมไปชั่วขณะ
ภาพของชายผู้โชคดี เอ๊ยย โชคร้ายที่ถูกจับไปเป็นมนุษย์ดัดแปลง
2) การนำเสนอตัวละครเอกที่มีลักษณะครึ่งคนครึ่งหุ่นยนตร์ หรือตัวละครที่เปลี่ยนร่างดัดแปลง ด้วยเทคโนโลยี ต่างๆ เช่น มาสไรเดอร์ Astroboy หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยตัวละครและเรื่องราว ในลักษณะนี้เป็นการตั้งคำถามถึงความแตกต่างระหว่างคนและเครื่องจักรซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในของสังคมร่วมสมัยของประเทศญี่ปุ่น และของโลก ที่พยายามพูดถึงการปฏิวัติยุคอุตสาหกรรมว่า ประชากรสังคมในญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเครื่องจักร จึงเป็นแรงขับเคลื่อนในการผลิตและแรงจูงในที่เอาความเป็น เทคโนโลยี นำไปใส่ในเรื่องราวและการเล่าเรื่อง
แสดงให้เห็นว่า ซีรีย์ไรเดอร์นั้นล้วนมีที่มาที่ไปนะครับ ไม่ได้คิดอะไรแล้วถูกจับมาใส่เป็นภาพแทน สะท้อนให้เห็นถึงสังคมญี่ปุ่นในสมัยก่อน ยาวมาถึงสมัยนี้ที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง ซีรีย์ไรเดอร์ ก็สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะความต้องการในแต่ละสมัยที่แตกต่างกันออกไป ในวันนี้ขอพูดถึงสาระในบุคโบราณก่อนละกันครับ
วิธีคิดพวกนี้ เชื่อมโยงกับนักทฤษฏี Mikhail Bakhtin
กระบวนการทำงานของแนวคิด อนิเมชั่นในยุคแรก เค้าอาศัยแนวคิด Carnival หรือ งานเทศการรื่นเริง ของ Mikhail Bakhtin ที่พูดถึง สถานะการนึงที่เมื่อเด็กได้ดูจะเกิดสภาวะ ตำแหน่งของคนในสังคมจะถูกเปลื่ยนแปลงไปสูงเป็นต่ำ ต่ำเป็นสูง ลักษณะอย่างนี้ทำให้บรรทัดฐานของสังคมเปลื่ยนไปชั่วขณะ เหมือนพวกเด็กแนวที่นำของสกปรกมาติดตัว เพื่อต่อต้านสิ่งที่สังคมสั่งให้พวกเขาเป็น หรือเรียกอีกอย่างว่า ทำให้คุณหลุดออกจากโลกแห่งความจริงและเข้าไปในโลกของการ์ตูน โดยอาศัย หุ่นยนต์ หรือ ความเป็นฮีโร่ นำพาคุณสู่โลกที่ไม่เคยเกิดขึ่นจริง มันจึงถึงเรียกว่า Carnival
กรอบวิธีคิดพวกนี้ ผมศึกษามาจากหนังสือ Carnivalesque ของ Mikhail Bakhtin ผสมกับหนังสือ Cool Japan และประสบการประวัติศาสตร์ความเข้าใจของวัฒนธรรมญี่ปุ่นนิดๆหน่อย กระทู้นี้ไม่ได้พูดถึงแง่ของความเป็นจริง แต่อาจจะเป็นไปได้สูง
โปรดใส่วงเล็บ และ คิดต่อได้อย่างอิสระ
เนื้อหาถูกรีโพสและปรุงแต่งมาจาก
https://www.facebook...&type=3&theater
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น